สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ชี้แจงกรณีที่มีรายงานการพบลูกไฟสีเขียวสว่างวาบ พาดยาวบนท้องฟ้า ช่วงคืนวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ตามด้วยเสียงดังสนั่นที่ได้ยินพร้อมกันหลายพื้นที่ ทั้งในเขตภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่พบรายงานความเสียหายหรือการเกิดอันตรายแต่อย่างใด จากหลักฐานที่รวบรวบรวมได้ อาทิ ข้อมูลการโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ภาพถ่าย และวิดีโอ เบื้องต้นคาดว่าอาจคือ ดาวตกชนิดระเบิด (Bolide) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ เป็นเหตุการณ์ที่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
ดร. วิภู รุโจปการ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่มีการเผยแพร่ คลิปวิดีโอและภาพถ่ายในโซเชียลมีเดีย ช่วงคืนวันที่ 3 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 23:52 - 23:55 น. หลายพื้นที่ในเขตภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร อ่างทอง นครนายก นนทบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ สุรินทร์ มีข้อมูลรายงานพบเห็นลูกไฟสีเขียวขนาดใหญ่วิ่งพาดผ่านท้องฟ้าเป็นแนวยาวประมาณ 10 วินาที พุ่งจากทางทิศตะวันออก พร้อมได้ยินเสียงดังสนั่นคล้ายเสียงระเบิดตามมา
จากคุณสมบัติเหล่านี้ คาดว่าเป็นดาวตกชนิดระเบิด (Bolide) ที่มีความสว่างมากกว่าแมกนิจูดปรากฏ -14.0 เป็นต้นไป (สว่างมากกว่าดวงจันทร์เต็มดวง) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีระดับความสูงอยู่ที่ 80 ถึง 120 กิโลเมตร จึงสามารถสังเกตเห็นได้หลายพื้นที่ในประเทศไทย
นอกจากนี้ ในช่วงวันที่ 17 กรกฎาคม - 24 สิงหาคมของทุกปี จะเป็นช่วงที่มีปรากฏการณ์ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ (Perseids) จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ดาวตกชนิดระเบิดดวงนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของฝนดาวตกดังกล่าว ที่จะมีอัตราการตกเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 100 ดวงต่อชั่วโมง ในคืนวันที่ 12 ถึงรุ่งเช้า 13 สิงหาคม 2568 ฝนดาวตกเพอร์เซอิดส์ หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อ “ฝนดาวตกวันแม่” เกิดจากเศษฝุ่นของดาวหางสวิฟท์-ทัตเทิล (109P/Swift-Tuttle) ที่หลงเหลืออยู่ในแนววงโคจร เมื่อโลกเคลื่อนผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น เศษฝุ่นจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและลุกไหม้จนเกิดเป็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า ฝนดาวตกนี้มีลักษณะเด่นคือดาวตกสีเขียวสดใสจากองค์ประกอบของแมกนีเซียม เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไม่มีผลกระทบต่อโลก ปัจจัยที่ส่งผลต่อสีของดาวตก เกิดจากองค์ประกอบทางเคมีของดาวตก และรวมถึงชนิดของแก๊สในชั้นบรรยากาศโลก เมื่อดาวตกพุ่งเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูงมาก จะเกิดการเสียดสีจนมีความร้อนสูง และเกิดการเผาไหม้ และเปล่งแสงออกมาในช่วงคลื่นต่าง ๆ เราจึงมองเห็นสีของดาวตกปรากฏในลักษณะที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยได้แก่ องค์ประกอบทางเคมี โมเลกุลของอากาศโดยรอบในแต่ละวันจะมีวัตถุขนาดเล็กผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกเป็นจำนวนมาก เราสามารถพบเห็นได้เป็นลักษณะคล้ายดาวตก และยังมีอุกกาบาตตกลงมาถึงพื้นโลกประมาณ 44-48.5 ตันต่อวัน แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ห่างไกลผู้คน จึงไม่สามารถพบเห็นได้ ดาวตกนั้นจึงเป็นเรื่องปกติและสามารถอธิบายได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
----
งานประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โทร. 053-121268-9 ต่อ 210-211 , 081-8854353 โทรสาร 053-121250
E-mail: pr@narit.or.th Website : www.narit.or.th
Facebook: www.facebook.com/NARITpage, X : @NARIT_Thailand,
Instagram: @NARIT_Thailand, TikTok: NARIT_Thailand
เผยแพร่ข่าว : นางสาวพรชิตา รุกขชาติ
สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กลุ่มสื่อสารองค์กร
โทรศัพท์ 0 2333 3782
E-mail : pr@mhesi.go.th
Facebook : MHESIThailand
Instagram : mhesithailand
Tiktok : @mhesithailand
X (Twitter) : @MHESIThailand
YouTube : @MHESIThailand
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.